วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รีวิว Windows Phone 7.5 Mango ฉบับคนเพิ่งใช้ครั้งแรก


รีวิว Windows Phone 7.5 Mango ฉบับคนเพิ่งใช้ครั้งแรก
ผู้อ่าน Blognone คงทราบกันดีว่า โนเกียกำลังจะขายมือถือ Lumia ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการทำตลาด Windows Phone อย่างจริงจังครั้งแรกในไทยด้วย (นอกเหนือไปจาก Windows Phone รุ่นแรกที่จับตลาดเฉพาะ early adopter เมื่อปีที่แล้ว)
ตัวแทนของโนเกียส่ง Lumia 710 มาให้ผมรีวิวเรียบร้อย ซึ่งคิดไปคิดมาแล้ว หลายๆ คนน่าจะเป็นแบบเดียวกันกับผม คือเพิ่งเคยใช้ Windows Phone เป็นครั้งแรก และอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าการใช้งานจริงๆ มันเป็นอย่างไรบ้าง
ดังนั้นรีวิวชุดนี้จะแยกเป็น 2 ตอนคือ ส่วนของ Windows Phone 7.5 Mango ในตอนนี้ และส่วนของฮาร์ดแวร์ Lumia 710 + ซอฟต์แวร์ของโนเกีย ในตอนหน้านะครับ
หมายเหตุ: เนื่องจาก Windows Phone 7.5 ยังไม่รองรับการจับ ภาพหน้าจอโดยไม่ unlock เครื่อง และเนื่องจากมันเป็นเครื่องขอยืมมา ผมก็ไม่สามารถจับภาพหน้าจอด้วยตัวเองได้ ภาพประกอบในบทความนี้จึงใช้วิธีถ่ายรูปเอา (เว็บเมืองนอกก็ใช้แบบนี้กันเกือบหมด) หรือไม่ก็ใช้ภาพ press image จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์-โนเกียแทน

เริ่มต้นกับ Windows Phone

Blognone รายงานข่าวเรื่อง Windows Phone กันมาเยอะมากแล้ว คงไม่ต้องเท้าความไปถึงแนวคิดหรือที่มาที่ไปของ Windows Phone และ Metro UI กันอีกแล้ว เราเข้าไปที่การใช้งานจริงกันเลยดีกว่าครับ
การใช้งาน Windows Phone เริ่มจากหน้า lock screen ซึ่งไม่มีอะไรต่างไปจาก lock screen ของระบบปฏิบัติการอื่นๆ มากนัก นั่นคือมีภาพพื้นหลัง นาฬิกา วันที่ และการแจ้งเตือนอื่นๆ เช่น อีเมล นัดหมาย สายที่โทรเข้ามา ฯลฯ
การปลดล็อคหน้าจอทำโดยสไลด์หน้าจอขึ้นไปด้านบน จากนั้นเราจะพบกับหน้าจอ Start ซึ่งประกอบด้วย Live Tiles เรียงกันลงไปในแนวบน-ล่าง
ทุกครั้งที่เรากดปุ่ม Start บนตัวเครื่องมือถือ มันจะพาเรากลับมายังหน้าจอ Live Tiles นี้เสมอ
ที่มุมขวาบนของหน้าจอ Start มีลูกศรชี้ไปทางขวามือ กดแล้วจะเห็นรายการแอพทั้งหมดภายในเครื่อง เรียงลงไปตามแนวบน-ล่างเช่นกัน
สรุปว่าหน้าจอพื้นฐานของ Windows Phone มีเพียงแค่ 2 จอเท่านี้ คือ หน้าจอซ้ายสำหรับแอพที่ใช้บ่อยๆ ก็ปักเป็น Tiles เอาไว้ ส่วนหน้าจอขวาก็เอาไว้เรียกแอพที่นานๆ ใช้ที เราสามารถปาดซ้าย-ขวาเพื่อสลับไปมาระหว่างสองหน้าจอนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มลูกศรเสมอไป
สำหรับคนที่คุ้นกับระบบปฏิบัติการหน้าจอเยอะๆ แบบ Android อาจรู้สึกแปลกๆ กับหน้าจออันน้อยนิดของ Windows Phone บ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอันใดต่อการใช้งานครับ

Live Tiles

Live Tiles ถือเป็นจุดขายหลักของ Windows Phone เลยก็ว่าได้ แนวคิดของมันเป็นลูกผสมระหว่างไอคอนกับ widget ทำหน้าที่ทั้งเป็นช็อตคัตของแอพ และแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ จากแอพตัวนั้น
ไม่ใช่ Tiles ทุกตัวที่สามารถแสดงข้อมูลได้ บางตัวเป็นแค่ไอคอนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น IE หรือ Settings พวกนี้เป็นแค่ไอคอนที่ช่วยให้เราเรียกแอพได้สะดวก
โดยรวมแล้ว Tiles ทำงานตอบโจทย์การใช้งานได้ดี แนวคิดดูแปลกใหม่ แต่ข้อติก็คือการวางหน้าจอ Tiles ของไมโครซอฟท์ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เพราะจากภาพจะเห็นว่าหน้าจอปกติแสดง Tiles ได้ประมาณ 8 อัน (Tiles อันล่างๆ ถูกตัดตกขอบไปสักเล็กน้อยด้วย) ทำให้คนที่มี Tiles แบบแจ้งเตือนเยอะๆ ต้องเลื่อนลงไปดูข้อมูลอยู่บ่อยๆ
ผมคิดว่าถ้าไมโครซอฟท์ปรับหน้าจอ Tiles ให้แต่ละตารางมีขนาดเล็กลง และยัดข้อมูลมาได้สัก 3 คอลัมน์ น่าจะช่วยให้การใช้หน้าจอมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ครับ (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยหน้าจอที่ซับซ้อนขึ้นล่ะนะ)
ปัญหาอีกประการหนึ่งของ Windows Phone ที่ไมโครซอฟท์ควรใช้ Tiles ช่วยคือ Windows Phone ไม่มีวิธีเปิด-ปิดฟีเจอร์ที่ใช้บ่อย เช่น Wi-Fi, 3G, Bluetooth, GPS แบบง่ายๆ ต้องเข้าไปยังหน้า Settings เท่านั้น
ปัญหานี้ Android แก้โดยแนบ Toggle Widget มาให้เลย ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก กรณีของ Windows Phone สามารถทำแบบเดียวกันโดยเพิ่ม Tiles สำหรับตั้งค่าพวกนี้มาให้ด้วย แต่ไมโครซอฟท์ก็ยังไม่ทำเรื่องนี้ใน Mango ต้องใช้วิธีโหลดแอพภายนอกมาติดตั้งเอาเอง (ใน Marketplace มีแอพ Cellular Data ที่ไมโครซอฟท์ทำเองให้หนึ่งตัว ถ้าอยากเปิดปิดอย่างอื่นต้องหากันเอง)

App List

หน้าจอรายชื่อแอพนั้นตรงไปตรงมามาก คือมีรายชื่อแอพพร้อมไอคอน แสดงเรียงตามตัวอักษรยาวลงไปเรื่อยๆ เท่าจำนวนแอพที่เราติดตั้งไว้ในเครื่อง
ไมโครซอฟท์คงไม่อยากให้ระบบปฏิบัติการซับซ้อน เลยไม่ให้วิธีจัดกลุ่มรายการแอพใดๆ มาให้เลย ดังนั้นถ้าอยากเรียกแอพแบบรวดเร็วก็ต้องปักหมุดไว้ใน Tiles หรือจะกดปุ่มค้นหาที่มุมซ้ายบน แล้วพิมพ์ชื่อแอพเอาก็ได้
ผมคิดว่าทั้งสองวิธีนี้ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเต็มที่นัก เพราะบางทีเรานึกชื่อแอพไม่ออก จะพิมพ์หาก็คงใช้ไม่ได้ทุกครั้งไป ส่วนการปักหมุดใน Tiles ก็อย่างที่บอกคือเวลา Tiles เริ่มยาวๆ ก็ต้องเลื่อนหาเยอะอยู่ดี
วิธีการปักหมุดเป็น Tiles ให้เรากดค้างไว้ที่รายชื่อแอพ จะมีคำสั่ง pin to start โผล่ขึ้นมา (ในกรณีที่เป็นแอพที่เราติดตั้งเองผ่าน Marketplace จะมีคำสั่ง rate/review และ uninstall เพิ่มเข้ามาด้วย)

การสลับแอพ

การสลับแอพที่เปิดอยู่ ให้ใช้วิธีกดปุ่ม Back ค้างเอาไว้เพื่อเข้าหน้าจอ multitasking ซึ่งจะแสดง thumbnail ของแอพที่เปิดอยู่ขึ้นมา เลื่อนซ้ายขวาเพื่อสลับไปยังแอพที่ต้องการ (คล้ายกับ webOS แต่ปัดขึ้นเพื่อปิดแอพแบบ webOS ไม่ได้)
การปิดแอพเหมือนกับ Android/iOS คือไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน ระบบปฏิบัติการจัดการให้เองทั้งหมดครับ ซึ่งกรณีของ Windows Phone ผมลองแล้วพบว่าจัดการเรื่องประสิทธิภาพได้ค่อนข้างดีกว่า Android มาก เนื่องจากมีแอพเพียงบางตัวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจะเปิดแอพมากหรือน้อยก็ไม่ค่อยมีผลกับระบบสักเท่าไร
การทำงานของ Windows Phone ลื่นไหลมาก แอนิเมชันสวยงาม ตรงนี้คงไม่กล่าวถึงเยอะ ใครอยากเห็นก็หาวิดีโอหรือของจริงดูกันเองได้ไม่ยาก

Status Bar

Windows Phone ไม่มี status bar ที่แสดงผลค้างเอาไว้ด้านบนของหน้าจอเหมือนกับ Android/iOS และนี่เป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดมากอย่างหนึ่ง
status bar ของ Windows Phone มีด้วยกัน 3 โหมด คือ
  1. ไม่แสดง status bar เลย
  2. แสดงเฉพาะนาฬิกาที่มุมขวาบน
  3. แสดงข้อมูลครบ ทั้งสัญญาณมือถือ ไอคอนต่างๆ และแบตเตอรี่
ปัญหาของ Windows Phone คือรูปแบบของ status bar แตกต่างกันออกไปตามแต่ละหน้าจอครับ เท่าที่ผมสังเกตได้ ถ้าเข้าแอพตระกูล Hub ทั้งหลาย จะไม่แสดง status bar เลย (ไม่เสมอไป) แต่ถ้าเป็นหน้าจอทั่วๆ ไปมักแสดงเฉพาะนาฬิกา
ส่วน status bar แบบเต็ม เราสามารถสั่งให้มันโผล่ขึ้นมาโดยเอานิ้วกดตรงนาฬิกาแล้วปัดลงมา เราจะเห็นข้อมูลสถานะต่างๆ ครบถ้วนอยู่ระยะหนึ่ง แล้วมันปิดกลับไปเป็นแค่นาฬิกาเหมือนเดิม
การทำงานแบบนี้ไม่เวิร์คอย่างแรง เพราะเรามักต้องการรู้ว่าตอนนี้ต่อเน็ตอยู่หรือไม่ สัญญาณ Wi-Fi เป็นอย่างไร แบตใกล้หมดหรือยัง ฯลฯ ซึ่งผมคิดว่าแสดงค้างไว้แบบระบบปฏิบัติการอื่นๆ ดีกว่า และไม่ได้เปลืองที่อะไรมากมายนัก

Notification

สำหรับการแจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ เช่น SMS เข้า, อีเมลใหม่, นัดหมาย ฯลฯ ตามปกติแล้วจะแสดงบน Tiles โดยตรง
แต่ในเหตุการณ์สำคัญบางกรณี เช่น SMS เข้า หรือมีคนแชทมาหาเรา มันจะขึ้นแถบแจ้งเตือนที่ขอบด้านบนของทุกหน้าจอในตอนนั้น ดังภาพ
กดแล้วจะเข้าไปยังหน้าจอของแอพที่แจ้งเตือนเรามาด้วย ไม่ต่างอะไรกับระบบปฏิบัติการอื่นๆ

copy from http://hitech.sanook.com/950330/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7-windows-phone-7.5-mango-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81/

Windows Phone ไล่บี้ BlackBerry ขึ้นเป็นอันดับสามในยุโรป


 Tags: 
Windows Phone
สถิติส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนจาก Kantar Worldpanel ระบุว่าตลาดยุโรปตอนนี้ Windows Phone เริ่มขึ้นมาไล่บี้ BlackBerry ในฐานะระบบปฏิบัติการอันดับสามแล้ว (ตัวเลขล่าสุดคือ RIM 6.4% และ Windows Phone 5.0% นับถึงต้นเดือนกันยายน)
Kantar ให้เหตุผลว่ามือถือราคาถูกอย่าง Nokia Lumia 610 เป็นปัจจัยเร่งให้ตลาด WP เติบโตในหลายประเทศ โดยประเทศที่ WP ประสบความสำเร็จมากที่สุดคืออิตาลี ส่วนแบ่งตลาดแตะ 10.4% ขึ้นมาเป็นเลขสองหลักได้เป็นที่แรก
Kantar คาดว่าการมาถึงของ Windows Phone 8 น่าจะช่วยให้ WP แซงหน้า BlackBerry ในตลาดยุโรปได้สำเร็จภายในปีนี้
สำหรับตลาดสมาร์ทโฟนในภาพรวม ซัมซุงยังครองแชมป์ยุโรปด้วยส่วนแบ่ง 48% ในขณะที่โซนี่ก็เริ่มกลับมาทำผลงานดีในสเปน เยอรมนี ฝรั่งเศส ที่เอาชนะได้ทั้ง BlackBerry/Lumia ส่วนประเทศที่ Android ครองแชมป์เบ็ดเสร็จยังเป็นสเปน ด้วยสัดส่วน 84%
สถิตินี้วัดก่อน iPhone 5 วางจำหน่ายทำให้ส่วนแบ่งตลาด iOS ในยุโรปลดลงจากเดิม 4.3% แต่ Kantar ก็คาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะกลับคืนมาในระดับเดิมจาก iPhone 5
ส่วนในสหรัฐ ตลาดแทบไม่มีที่ว่างเหลือให้รายอื่น เพราะ iOS+Android ครองตลาดไปแล้ว 93% ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของ RIM เหลือเพียง 1.7% และ WP อยู่ที่ 2.7% (ซึ่งกรณีของ WP ถือว่าลดลงจากเดิมด้วย)
Symbian ยังมีที่ยืนอยู่บ้างในประเทศกำลังพัฒนา คือ 26.7% ในบราซิล (อันดับสอง) และ 20.2% ในเม็กซิโก (อันดับสาม)
ที่มา - Kantar Worldpanel

10 สิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับ Windows Phone 7


สำหรับบทความนี้ขอตามติดกระแสของ Windows Phone 7 เสียหน่อย เนื่องจากในสัปดาห์นี้เป็นช่วงที่งาน MIX 2010 กำลังจัดขึ้นอยู่พอดีโดยพระเอกของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Windows Phone 7 นั่นเอง และสัปดาห์นี้ผมจะนำ 10 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Windows Phone 7 มานำเสนอให้ได้ทราบกันครับ


1. โอบแขนรับนักพัฒนาอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าในงาน MIX 2010 รอบงานต่างรายล้อมไปด้วยเหล่านักพัฒนาโปรแกรมเสียส่วนมาก ฉะนั้นงานนี้ Steve Ballmer ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของไมโครซอฟต์จึงนำเอาลูกเล่นด้านการพัฒนาโปรแกรมบน WP7 มาแสดงอย่างเต็มเหนี่ยว ทั้งการนำประโยชน์จากลูกเล่นจากมัลติทัช, กล้อง, จีพีเอส และเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวมาโชว์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังโชว์โปรแกรมล้อเลียนที่ทำจาก Silverlight ออกมาแสดงให้เห็นกันอีกด้วย

2. ยกเครื่อง Marketplace ใหม่หมด
สำหรับผู้สร้างโปรแกรมแล้ว หากสร้างออกมา แต่ไม่มีที่จะเอาไปนำเสนอมันก็กระไรอยู่ ดังนั้นทางไมโครซอฟต์จึงทำการปรับปรุง Windows Phone Marketplace ใหม่หมดเพื่อที่จะทำให้สามารถค้นหาโปรแกรมและเกมได้ง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้ยังรองรับการหักเงินจากบัตรเครดิต และการรวมค่าใช้จ่ายด้านโปรแกรมเข้าไปในบิลปลายเดือนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ รวมถึงโปรแกรมที่อิงรายได้จากการโฆษณาเพื่อที่จะทำให้เหล่านักพัฒนาพอใจเป็นที่สุด

3. ตอนนี้ไม่มีมัลติทาสก์กิ้ง
เฉกเช่นเดียวกับ iPhone ตอนนี้ WP7 ยังไม่รองรับการทำงานแบบหลายโปรแกรมพร้อมกัน แต่ยังไงตัวโปรแกรมก็ยังมีลูกเล่นอย่าง push-notification ที่จะทำให้โปรแกรมภายนอกสามารถส่งสถานะการอัพเดทเข้ามาให้เราได้เห็นกันได้ผ่านข้อความแม้ว่าโปรแกรมตัวนั้นจะไม่ได้รันอยู่ก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อนาคตยังคงไม่แน่นอน สำหรับในรุ่นพัฒนาต่อไปอาจจะมีลูกเล่นนี้มาให้ใช้ดังเดิมก็เป็นได้

4. เปลี่ยนการ์ดหน่วยความจำเองไม่ได้
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าเคลือบแคลงใจของ WP7 เมื่อไมโครซอฟต์ประกาศว่าเครื่องที่จะออกมาเพื่อรองรับ WP7 นั้นเป็นเครื่องที่ไม่สามารถให้ผู้ใช้ทำการเปลี่ยนการ์ดหน่วยความจำได้เอง ซึ่งรูปแบบนั้นจะมาสองแบบคือการติด built-in มาภายในเมนบอร์ดเลย หรือจะเป็นอีกแบบคือการติด micro sd ไว้ใต้แบตเตอรี่ (และแน่นอนว่าเปลี่ยนเองไม่ได้) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไมโครซอฟต์ยังคอนเฟิร์มว่าหน่วยความจำที่ติดมาให้นั้นเพียงพอต่อการใช้งานเพื่อเก็บโปรแกรมและเกมส์แน่นอน


5. Windows Phone Market จุดศูนย์รวมของทุกอย่าง
จากเดิมที่เราสามารถหาโปรแกรมจากที่ไหนก็ได้มาติดทั้งบน Windows Mobile ที่เราเคยใช้กันผ่านๆ มา ถึงตอนนี้คงจะไม่ใช่แบบเดิมอีกแล้ว เมื่อทางไมโครซอฟต์ประกาศว่าโปรแกรมทุกตัวที่จะติดตั้งบน WP7 จะต้องถูกติดตั้งผ่านระบบ Windows Phone Marketplace เท่านั้น ซึ่งนี่ก็หมายความว่าไมโครซอฟต์ก็มีสิทธิ์ที่จะยอมรับให้โปรแกรมใดๆ อยู่บน Marketplace ของตนเองหรือไม่ก็ได้ (ช่างเหมือนกับ Apple ไม่มีผิดเพี้ยน) แบบนี้ต่อไปไม่รู้จะมีการแหกคุกครั้งใหม่เกิดขึ้นอีกรึเปล่า

6. Copy/Paste ก็หายไปเช่นกัน
พูดไปพูดมาเริ่มจะเหมือนโมเดลของค่าย Apple เข้าไปทุกที เมื่อ WP7 ก็ประกาศออกมาเช่นกันว่าจะไม่รองรับการ Copy/Paste ที่เคยเป็นจุดเด่นของ Windows Mobile รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่ไมโครซอฟต์แจ้งมาคือ คิดว่าผู้ใช้คงไม่ต้องการมัน (โอ้วมายก็อด) แล้วที่  Apple เปลี่ยนใจเอามาใส่ทีหลังละ มันหมายความว่าเยี่ยงไร?


7. ตัวที่เราเห็นในปัจจุบันคือตัวที่ปรับปรุงมาแล้ว
หากใครติดตามข่าวเป็นประจำก็จะเห็นว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนไมโครซอฟต์ได้ปล่อย screenshot ของ Windows Mobile 7 ออกมาให้เราเคยเห็นกันแล้ว ซึ่งรูปร่างนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากตัว 6.5 มากนัก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ คือปุ่มและไอคอนที่ใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนกราฟิกของปุ่มรวมถึงบางส่วนของ UI ใหม่ และอีกหลายเดือนต่อมาก็เงียบหายไป กลับมาอีกทีก็กลายเป็นรุ่นที่เราเห็นกันในตอนนี้แล้ว แน่นอนว่ารุ่นที่เราเห็นครั้งแรกมันดูไม่จืดเลย และหากเทียบกับเจ้าอื่นๆ ที่ทำตลาดอยู่แล้วแทบจะนับถอยหลังรอวันตาย ฉะนั้นการยกเครื่อง OS ใหม่ทั้งหมดจึง(น่าจะ) เป็นแผนที่ดีของไมโครซอฟต์ ที่จะยืนหยัดสู้กับค่ายอื่นๆ ได้ในตลาดของ featured phone

8. รองรับจอใหญ่มาก
จากข้อมูลก่อนๆ หน้านี้เราทราบกันมาบ้างแล้วว่า WP7 จะรองรับเฉพาะจอที่มีความละเอียดระดับ WVGA (800x480) เท่านั้นซึ่งเป็นข้อดีอย่างนึง แต่ยังไงถ้ามองจากมุมมองของตลาดในปัจจุบัน การที่จะรองรับความละเอียดสูงขนาดนี้สิ่งที่ตามมาคือเครื่องจะมีราคาแพงมาก (ตีตลาดบนอย่างเดียว) รวมถึงสำหรับโทรศัพท์บางรุ่นแล้วลูกเล่นจอใหญ่ขนาดนี้ไม่จำเป็นเลย

ดังนั้นไมโครซอฟต์จึงประกาศออกมาแล้วว่าในอนาคต WP7 จะรองรับความละเอียดระดับ HVGA (480x320) ด้วยซึ่งแน่นอนว่าจะได้ขนาดที่เล็กลง และราคาที่สบายกระเป๋าขึ้น ผู้ที่คาดหวังอยากจะใช้โทรศัพท์รุ่นถูกๆ ก็พอจะมีความหวังกันบ้างพอสมควรครับ

9. ระยะเวลาการใช้งาน ยังน่ากังขา
ไมโครซอฟต์ยังไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับระยะเวลาในการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งของ WP7 ออกมา แต่มีเพียงรายละเอียดที่ว่าการทำงานของตัวโปรแกรมที่เห็นว่าเร็วๆ นั้นมีการทำงานร่วมกันทั้งในส่วนของ CPU และ GPU แยกออกจากกัน ซึ่งขณะนี้ตัว OS ยังอยู่ในการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ คาดว่ารายละเอียดเพิ่มเติมคงจะออกมาในอีกไม่นานครับ


10. โทรศัพท์รุ่นแรกของ WP 7 จะออกมาช่วงปลายปีนี้
ค่ายที่ประกาศรองรับ WP7 แล้วปัจจุบันมีสองค่ายคือ LG และ Samsung ที่หวังจะเอาเครื่องของตนเองที่รองรับ WP7 ออกมาสู่ตลาดในช่วงคริสต์มาสปีนี้ ซึ่งเครื่องที่ซัมซุงนำมาแสดงในงานนั้นรูปร่างมันช่างเหมือนกับรุ่น i8910HD ซึ่งจริงๆ มันก็คือรุ่นนั้นที่ไมโครซอฟต์จับมายัดใส่ WP7 เข้าไปเองนั่นแล ส่วนเครื่องจริงๆ เราต้องติดตามกันต่อไปว่าซัมซุงจะเข็นรุ่นไหนออกมา

Windows Phone 7 คืออีกหนึ่งคู่แข่งกลับมาพร้อมตีตลาดกับค่ายคู่แข่งอื่นๆ ที่มีลูกเล่นที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมาช้าไปสักนิดแต่ก็หวังว่าน่าจะสามารถดึงตลาดที่คู่แข่งได้ครองไปก่อนหน้านี้กลับมาได้บ้าง ซึ่งจะทำได้ดีแค่ไหนก็ต้องรอดูกันช่วงปลายปีนี้ครับ
รูปภาพจาก: engadget.com , windowsphoneforums.com

Skype for Windows Phone 8 ใช้งานได้ราวกับเป็นโทรศัพท์จริงๆ


 Tags: 
Skype
สำหรับคนที่ใช้งาน Skype เยอะๆ ผมว่าข่าวนี้อาจเป็นฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ WP8 ก็เป็นได้เลยครับ
Skype ออกมาประกาศข้อมูลของแอพเวอร์ชัน WP8 แล้ว โดยระบุว่าเขียนแอพขึ้นมาใหม่หมด แก้ปัญหาเดิมๆ ของแอพเวอร์ชัน WP7 ออกไป ส่วนฟีเจอร์สำคัญมีดังนี้
  • แม้จะติดตั้งเป็นแอพแยก แต่สถานะของ Skype จะเหมือนกับแอพหลักของ WP8 นั่นคือ ข้อความ สายเข้า และวิดีโอคอลล์จากระบบของ Skype จะขึ้นเตือนได้ตลอดเวลาเหมือนกับ SMS/สายเข้า ตามระบบโทรศัพท์มือถือปกติ แม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดแอพ Skype อยู่ก็ตาม นอกจากนี้หน้าจอสายเข้ายังใช้หน้าจอแบบเดียวกับ WP8 และสามารถสลับสายระหว่างการโทรด้วย Skype กับ cellular ได้ด้วย
  • ในส่วนของ People Hub เราสามารถกดโทรออกด้วย Skype ได้เลย จะมีปุ่ม Skype เพิ่มเข้ามาจากปุ่ม call mobile และ text (sms)
  • หน้าจอ lockscreen จะมีสถานะของ Skype เพิ่มเข้ามาเช่นกัน นอกเหนือไปจากสายเข้า ข้อความ และอีเมล
  • ถ้าเราเชื่อม Skype เข้ากับ Microsoft Account ในโปรแกรม Messenger ของ WP8 จะแสดงสถานะของเพื่อคนนั้นบน Skype ด้วย
ส่วนของตัวแอพ Skype เองก็ปรับดีไซน์ใหม่ สามารถปักหมุดเพื่อนสนิทได้แล้ว และแสดง recent conversation เพื่อให้เข้าถึงการสนทนาครั้งล่าสุดได้ง่ายขึ้น
Skype for WP8 จะลง Windows Phone Store ในเร็วๆ นี้

http://www.blognone.com/node/37580

[ปักหมุด] Review(รีวิว): Nokia Lumia 920 ฉบับภาษาไทย


[ปักหมุด] Review(รีวิว): Nokia Lumia 920 ฉบับภาษาไทย

Nokia Lumia 920
ราคา : 21,500 บาท วางจำหน่ายในไทย 15 พฤศจิกายน 2555

หลังจากการเปิดตัว Windows Phone 8 Microsoft ทาง Nokia ได้แนะนำ Lumia 920 ไฮเอนด์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดบนระบบปฎิบัติการณ์ Windows Phone 8.0 และได้รับเสียงตอบรับที่ดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกและคู่แข่งตัวสำคัญในตลาดสมาร์ทโฟน โดย Lumia 920 มีให้เลือกในหลากหลายสีสัน ทั้ง สีดำ สีขาว สีเทา สีฟ้า สีแดง และสีเหลือง มาดูกันครับว่า Lumia 920 มีอะไรให้ตื่นเต้นและคุ้มค่าแก่เงินในกระเป๋าของเรากันบ้าง
ฮาร์ดแวร์
“การกลับมาอีกครั้งของ Uni-body”
การออกแบบ Lumia 920 ยังคงรูปแบบ Uni-body จาก Lumia 900 ผนวกกับกระจกดีไซด์โค้งมนบน Lumia 800 ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเข้าด้วยกัน ซึ่งสร้างสัมผัสที่เรียบเนียน ประกอบกับวัสดุโพลีคาร์บอเนต และคุณภาพงานประกอบที่ประณีต ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นจากการสัมผัสครับ หากใครหลงรักดีไซด์ ของ Lumia 800 จะต้องประทับใจกับ Lumia 920 แน่นอนครับ มาพูดถึงความแตกต่างของผิววัสดุของ Lumia 920 ซึ่งมีสองแบบคือ แบบเงา และแบบด้าน โดย สีดำ สีเทาและ สีฟ้า เป็นวัสดุแบบด้าน ส่วนสีขาว สีเหลือง และสีแดง เป็นวัสดุแบบเงา ส่วนความทนทานและการทนรอบขีดขวน เป็นส่วนที่ผมค้อนข้างประทับทั้งจากการใช้งานเอง รวมถึงจาดวีดีโอการทดสอบต่างๆที่เคยได้ลงไว้ในเวบ พูดถึงน้ำหนักและความพอดีมือกันบ้าง น้ำหนักเป็นเรื่องหนึ่งที่พูดถึงกัน เนื่องจาก Lumia 920 มีน้ำหนักที่หนักกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอีนๆ อาจจะไม่สะดวกสำหรับ คนที่ชอบใส่กระเป๋าเสื้อ ส่วนเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของ Lumia 920 นั้นมาจากระบบ OIS หรือระบบกันสั่นของกล้องที่เพิ่มขั้นมานั่นเอง ส่วนเรื่องความพอดีมือนั่น ผมคิดว่าทำได้พอเหมาะ จับถนัดมือ แต่สำหรับมือคุณผู้หญิงอาจจะใหญ่เกินไปเล็กน้อย
สำหรับสเปคคร่าวๆของ Lumia 920 มีดังนี้ครับ
  • CPU Snapdragon S4 Dual-Core ที่ความเร็ว 1.5GHz
  • หน้าจอ IPS LCD ClearBlack ขนาด 4.5 นิ้ว ที่ความละเอียด 1280 x 768 pixels พร้อมด้วยเทคโนโลยี PureMotion HD+ และ Super Sensitive Touch
  • กระจกกันจอโดย Corning Gorilla Glass 2 กันรอยขีดข่วน
  • แรม 1 GB
  • ความจุ 32GB ไม่สามารถเพิ่มขนาดความจุเองได้
  • กล้องหลัง 8.7 ล้าน f/2.0(ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี) 26mm (ให้ภาพมุมกว้าง) ใช้เลนส์ Carl Zeiss พร้อม LED แฟลชคู่ และระบบ OIS เป็นมือถือรุ่นเดียวที่มีระบบกันสั่น ถ่ายวีดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียด 1080p พร้อมเทคโนโลยี Nokia PureView กล้องหน้าขนาด 1.3ล้าน
  • รองรับ 4G LTE ในบางประเทศ (ไม่รองรับ 4G ในไทยเพราะยังไม่มี)
  • Near Field Communication(NFC)
  • WiFi/Bluetooth 3.0
  • Qi Wireless charging เทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย
  • แบตเตอร์รี่ขนาด 2000 mAh
หน้าจอ
หน้าจอของ Lumia 920 นั้นเป็นแบบ IPS LCD ClearBlack ความละเอียด 1280 x 768 พิกเซล ต่างจากจอ Lumia 900 เดิมที่เป็นแบบ AMOLED ClearBlack ซึ่งการแสดงผลทำได้อย่างคมกริบ โดยเฉพาะการแสดงผลตัวหนังสือ ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งคือหน้าจอของ Lumia 920 นั้นจะไม่ดำสนิทเท่ากับหน้าจอแบบ AMOLED ที่ความสว่างสูงสุด แต่ก็ถือว่ายังแสดงคอนทราสได้ดีมาก
จุดเด่นของจอ Lumia 920 ทำได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆนั่นคือการใช้งานในที่แสงจ้า อย่างเช่นนอกสถานที่ Lumia 920 ทำได้ดีมากเลยทีเดียวครับ พัฒนาขึ้นจาก Lumia 900 เดิมที่ดีอยู่แล้ว ดูตัวอย่างได้จากรูปด้านล่างที่ผมเอาออกไปเทสนอกสถานที่ในวันที่ฟ้าเปิด และแสงจัดมากๆ ใครใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆหายห่วง การแสดงผลทั้งภาพนิ่งและวีดีโอทำได้ดีมากครับ สีสันและคอนทราสจัดจ้านมากๆ ใครที่ชอบจอคมๆรับรองไม่ผิดหวัง
มาพูดถึงเรื่องการตอบสนองกันบ้าง Lumia 920 มาพร้อมกับเทคโนโลยี PureMotion HD+ และ Super sensitive touch ซึ่งการตอบสนองนั้นหายห่วงครับทำได้รวดเร็ว ไม่มีติดขัด เฟรมเรทที่ไหลลื่น โดยเฉพาะเทคโนโลยี Super Sensitive Touch ทำให้เราสามารถใช้โทรศัพท์ในขณะส่วมถุงมือธรรมดาๆได้ รวมถึงวัตถุอื่นๆ ที่สามารถนำไฟฟ้าผ่านมือเราได้ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่อยู่เมืองหนาว ส่วนบ้านเรานั้นสำหรับผู้ที่เล่น กีฬา รวมถึงเหล่านักปั้นทั้งหลายน่าจะชื่นชอบกับความสามารถนี้ของ โดยเทคโนโลยีนี้เป็นเอกสิทธิ์ของ Nokia ซึ่งมีอยู่บน Nokia Lumia รุ่นใหม่ทั้ง Lumia 820 และ 920
“การใช้งานกลางแจ้งทำได้อย่างน่าประทับใจ”

ประสิทธิภาพตัวเครื่อง
จาการพัฒนาสเปคขึ้นมาจากเดิมจาก Lumia 900 ของค่อนข้างมากสมควร โดยเฉพาะ Cpu Snapdragon S4 Dual-Core แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเปรียบเทียบความเร็วในการทำงานโดยรวมจากสเปค นั้นอาจจะไม่เห็นชัดมากนัก เนื่องด้วยระบบปฎิบัติการณ์ Windows Phone ค่อนข้างจะทำงานได้รวดเร็ว ไหลลื่น และมีความเสถียรอยู่เดิมแล้ว จากการพัฒนาจาก Windows Phone 7.5 มาสู่ Windows Phone 8 ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทำได้ รวดเร็ว และมีความเสถียรมากขึ้นจากเดิม ส่วนที่เห็นได้ชัดคือการรันแอพที่เร็วขึ้นจากเดิม แต่การเปิดแอพบางตัวอาจจะมีการหน่วงเล็กน้อย แต่หลังจากโหลดเข้าแอพเรียบร้อยก็ทำงานได้ไหลลื่น ส่วนของการเทสกราฟฟิค 3 มิตินั้นทำได้ดีมากพัฒนาจาก Lumia 900 แต่ที่ได้เปรียบที่สุดคือหน้าจอใหญ่ และความละเอียดที่สูง ทำให้ได้รับอัถรสในการเล่นเกม การดูหนัง ชม YouTube รวมถึงการบังคับเกมก็ทำได้คล่องขึ้นเยอะ ดูตัวอย่างวีดีโอด้านล่างที่ผมทดสอบดูนะครับ
เรื่องความดังของลำโพงนั้นหายห่วงครับ เนื่องจากว่าเจ้าลำโพงของ Lumia 920 นั้นเรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดังมากเลยทีเดียว รวมถึงความสามารถในการปรับ Equalizer ที่เพิ่มเข้ามาทำให้เพื่อนๆสามารถปรับแต่งเสียงตามใจชอบ มีอีกเรื่องที่ผมตั้งขอสังเกตจากที่มีการพูดถึงกันมากพอสมควรคือ เรื่องระบบการสั่นของ Lumia 920 ที่อาจจะมีเสียงแปลกๆอาจเนื่องด้วยชิ้นส่วนสปริงของ OIS ระบบกันสั่นของตัวเลนส์กล้อง หรืออาจจะเป็นปัญหาของการออกแบบ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในส่วนนี้ ผมจะสาธิตให้ดูในวีดีโอ รวมถึงปัญหาเรื่องการขยับแบตเตอรี่ที่มีการพูดถึงกันบ้าง เพื่อนๆคนไหนที่ได้เครื่องแล้วก็ลองตรวจสอบกันดูนะครับ
“หน้าจอใหญ่และคมชัด เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอย่างมาก”
กล้อง
“กล้องและระบบกันสั่นทำได้ดีมากแต่ซอฟแวร์ควบคุมยังต้องพัฒนา″
Lumia 920 นั้นใช้เลนส์ Carl Zeiss ความละเอียด 8.7 ล้าน มาพร้อมกับเทคโนโลยี PureView รูรับแสงที่ 2.0 และ OISระบบกันสั่นในตัวเลนส์ ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดี และชัตเตอร์ค่อนข้างไว รวมถึงเลนส์ระยะ 26mm ที่ทำให้ภาพที่ถ่ายมานั้นกว้างกว่า Lumia 900 เดิม เหมาะสำหรับคนชอบถ่าย landscape จริงๆครับ มันกว้างได้ใจดีจริงๆ การถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 1080p Full HD ซึ่งพัฒนาจาก Windows Phone รุ่นก่อนๆ ผลที่ได้จากการถ่ายวีดีโอบน Lumia 920 นั้นภาพที่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ชัดมาก ทำได้ดีทั้งกลางวันและกลางคืน การดูดเสียงและตัดเสียงลมทำได้ค่อนข้างดี และระบบ OIS เป็นระบบกันสั่นในตัวเลนส์ ซึ่ง Lumia 920 ถือเป็น สมาร์ทโฟนรุ่นแรกและรุ่นเดียวในโลกขณะนี้ทีมีระบบนี้ การจัดการการสั่นถือว่าทำได้ประทับใจเลยครับ เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายวีดีโอเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการถ่ายภาพนิ่งกลางแจ้งแสงเยอะๆ Lumia 920 ทำออกมาได้ดีมากครับ สีสวยคมชัดมากๆ การเก็บรายละเอียดในส่วนมืดกับส่วนสว่างทำได้ดี ชัทเตอร์ก็เร็วปรี๊ด แต่อาจจะเจอปัญหาเรื่องภาพที่จะซอฟเล็กน้อยในบางสภาวะแสง ส่วนกล้องหน้าก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ครับ เอาไว้ถ่ายเล่นๆ จะเหมาะสำหรับพวก Video Call มากกว่า
ส่วนเรื่องการจัดการกับปัญหาเรื่อง Noise ที่เคยมีอยู่เดิมบน Lumia 900 ก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นครับอาจเนื่องด้วยรู้รับแสงที่กว้างขึ้นกว่า Lumia 900 ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการถ่ายภาพกลางคืนหรือในที่แสงน้อยนั้นถือว่าทำได้ประทับใจมากครับ ภาพที่ออกมาค่อนข้างสว่างมากครับ จนอาจจะสว่างเกินไปด้วยซ้ำ เราสามารถลด ISO เพื่อลด Noise ได้อีกซึ่งผมแนะนำให้เพื่อนๆลองปรับ ISO ด้วยตนเองครับจะช่วยในการลด Noise ได้เป็นอย่างมาก ปัญหาที่หลายคนอาจเคยหงุดหงิดคือ white balance ในที่แสงน้อยที่ software ควบคุมกล้องก็ทำได้ดีขึ้นจากเดิมพอสมควร ในการถ่ายภาพนิ่งถือว่าค่อนข้างตรงกับสภาวะแสงจริงครับ ผมเจอปัญหาบ้างในการถ่ายวีดีโอ โดยเฉพาะเวลาเจอแสงจ้าๆ หรือถ่ายย้อนแสงสีขาว software จะปรับ white balance อัตโนมัติ ซึ่งทำให้โทนสีภาพเปลี่ยนไปในบางช่วงของวีดีโอ สำหรับผมถือว่าค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ อาจจะต้องทำการปรับแต่งแบบ manual ในบางครั้ง สีที่ออกมานั้นจะตรงกว่า โหมด auto แต่ตรงนี้อาจจะเป็นข้อเสียจุดหนึ่งเพราะว่าผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่เคยปรับแต่งกล้องมาก่อน ใน Lumia 920 ยังมีซอฟแวร์เกี่ยวกับการถ่ายภาพอีกหลายตัวที่น่าสนใจซึ่งผมจะสาธิตให้ดูในวิดีโออีกครั้งครับ
ภาพถ่าย Panorama จาก Nokia Creative Studio app
ภาพถ่ายเปรียบเทียบระหว่าง Lumia 920 กับ Lumia 900 และกล้อง EOS 5D MarkII
http://www.windowsphonethailand.com/